ปัจจุบันการที่บริษัทจะ "ขายของ" สักชิ้น หรือ ประกาศถึงคุณสมบัติเริดๆของ "การบริการ" ขององค์กรตัวเอง เริ่มมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น มันไม่ได้อยู่แค่หน้าจอทีวีที่เป็นโฆษณาสิบวิ สิบห้าวินาที หรือโปสเตอร์ใหญ่ๆ ที่ติดตามแยกถนนใหญ่ แต่มันได้เติบโตและอาจอยู่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันเราแบบใกล้ชิดจนเราแทบไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ หรือการสื่อสารขององค์กรนั้นกลับทำให้เรารู้สึกว่า การโฆษณาอะไรจะดูได้เพลิดเพลินขนาดนี้ เพลินจนจำแบรนด์เธอได้เลยล่ะ อารมณ์เหมือนกับ "รู้ตัวอีกทีฉันก็จำเธอไปจนตายเสียแล้ว!!" และก็เหมือนกับตัวอย่างกรณีศึกษาที่จะนำมาเสนอในบล๊อคของเราวันนี้
โฆษณาหนังสั้น "จีบได้ แฟนตายแล้ว"
ก่อนจะบอกว่ามันคืออะไร แล้วเพราะอะไรมันถึงได้สะกิดต่อมขั้วหัวใจของเรามากถึงขั้นต้องหยิบเอามาคุยในบล๊อค ก็ขอให้ลองรับชมก่อนครับ
คลิกตรงนี้นะครับ
ถ้าดูจนจบ...บอกตรงๆ ว่าทุกคนถึงกับต้องร้องอ๋อ ที่เมื่อตอนท้ายของหนัง มีการสรุปข้อความไว้สั้นๆ เกี่ยวกับคำว่า The One แล้วตบด้วยตราของแบรนด์สินค้า และสโลแกนสวยๆ พ่วงว่า " You are my The One " ตัชชช!!! เชื่อไหมครับ? ตอนนี้ตัวคนเขียนบล๊อคเองก็ยังจำได้เป๊ะ ทั้งๆที่ตลอดทั้งเรื่องของหนัง ไม่ได้กล่าวถึงตัวสินค้าเลย หรือแม่กระทั่งรูปผลิตภัณฑ์ก็ไม่มีโผล่มาสักวินาที ไม่มีเลยจริงๆ แต่ก็กลายเป็นว่าแบรนด์ The One Card ก็ต้องผุดเข้ามาในหัวก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อมีคนพูดว่าจีบได้แฟนตายแล้ว, จีบได้, คนสำคัญ, แฟนตายแล้ว, หนังสั้น, ฐิติพงศ์, พี่เหมย, แวว, อัพ, แหวนแต่งงาน, เจอร์ราร์ด, หนิง, ลิเวอร์พูล, รักแมนยู
ถ้าดูจนจบ...บอกตรงๆ ว่าทุกคนถึงกับต้องร้องอ๋อ ที่เมื่อตอนท้ายของหนัง มีการสรุปข้อความไว้สั้นๆ เกี่ยวกับคำว่า The One แล้วตบด้วยตราของแบรนด์สินค้า และสโลแกนสวยๆ พ่วงว่า " You are my The One " ตัชชช!!! เชื่อไหมครับ? ตอนนี้ตัวคนเขียนบล๊อคเองก็ยังจำได้เป๊ะ ทั้งๆที่ตลอดทั้งเรื่องของหนัง ไม่ได้กล่าวถึงตัวสินค้าเลย หรือแม่กระทั่งรูปผลิตภัณฑ์ก็ไม่มีโผล่มาสักวินาที ไม่มีเลยจริงๆ แต่ก็กลายเป็นว่าแบรนด์ The One Card ก็ต้องผุดเข้ามาในหัวก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อมีคนพูดว่าจีบได้แฟนตายแล้ว, จีบได้, คนสำคัญ, แฟนตายแล้ว, หนังสั้น, ฐิติพงศ์, พี่เหมย, แวว, อัพ, แหวนแต่งงาน, เจอร์ราร์ด, หนิง, ลิเวอร์พูล, รักแมนยู
(มันต้องเกินเบอร์ขนาดนั้นเลยเหรอ? คำตอบคือ 'ใช่ครับ' เพราะดูหนังเสร็จ ภาพที่จำก็กลายเป็นภาพแบรนด์บัตรสะสมแต้มเครือ Central Group ไปแล้ว )
อะไร? ที่ทำให้ หนังสั้น 10 นาที กลายเป็นที่น่าจดจำได้มากขนาดนี้ ? เราจะมาลองดูไปพร้อมๆกันนะครับ
อย่างแรก! เป็นเพราะ. The One Card รู้ตัวดีครับ ว่าเขาคือใคร? มาทำอะไร? และมีฉายาว่าอะไร? คำตอบก็คือ เขาคือบัตรสะสมแต้มจากการซื้อสินค้า และใช้เป็นส่วนลดการซื้อขายในห้างสรรพสินค้าเครือ Central Group ต่อมาคือสโลแกนของเขาเอง ที่บอกว่า You are my The One = ลูกค้าอย่างคุณนั่นแหละที่เป็นดั่งนัมเบอร์วันของผม พอรู้จักตัวเองดีแล้ว ขั้นต่อไป ก็คือต้องการพรีเซนต์ตัวเองกับใคร? ก็เหมือนเวลาจีบใครซักคนนั่นแหละครับ เพราะเวลาที่เราปิ๊ง อยากจะจีบใครซักคน (เปรียบได้ดั่งกลุ่มเป้าหมายของ The One Card) เราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าคนนั้นชอบอะไร(กลุ่มเป้าหมายจะสนใจอะไรบ้างนะ?) แล้วเราก็กลับมามองตัวเอง(The One Card สำรวจคุณสมบัติของตัวเอง) แล้วก็หาวิธีที่จะจีบด้วยวิธีการของตัวเองและไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป !(The One Card หาช่องทางการสื่อสารตัวเอง ไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย) ซึ่ง The One Card เลือกที่จะสื่อสารกับกลุ่มคน Young Adult - Adult หรือกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 20-25 ปี) และวัยทำงานเต็มตัวเต็มประสิทธิภาพ (อายุ 25-40 ปี) ดูจากอะไรล่ะ? ก็ดูจากการแคสนักแสดง, เรื่องราวความรักมุ้งมิ้ง, วิธีการเล่าเรื่องผ่านบทละคร โดยในการสื่อสารผ่านบทละครเรื่องนี้ The One Card เลือกที่จะสื่อสารโดยนำเสนอเรื่องราวจากประสบการณ์ร่วมของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตทั่วๆไปของคนปัจจุบัน มีการใช้งาน Facebook หรือจะเป็นการอยู่ร่วมกันของคู่รักวัยรุ่นในเรื่อง ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้ดูโฆษณาหนังสั้นเรื่องนี้เกิดความรู้สึกเข้าถึงได้ง่ายและใกล้เคียงกับชีวิตของตัวเองนั่นแหละครับ
นอกจากโฆษณาหนังสั้นเรื่องนี้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงและเกิดความประทับใจขึ้นแล้ว ยังมีลูกเล่นในการนำเสนอที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง มันเรียกได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเรื่องราวที่นำเสนอกับตัวสินค้าและกลุ่มเป้าหมายเองโดยใช้คำว่า "The One" มาเป็นแกนหลักสำคัญ อย่างที่ทุกคนเข้าใจกันนะครับว่า "The One" ก็คือหนึ่งเดียว มันก็ตีความหมายได้หลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะให้ความหมายว่ายังไง แต่แล้วมันก็คงไม่พ้นความเป็นหนึ่ง ความเป็นสิ่งสำคัญแน่นอน ถือว่าThe One Card มาถูกทางเลยทีเดียวล่ะครับแหม่ ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นความสำคัญของคนสำคัญ รวมถึงเห็นความสำคัญของเวลาที่ต้องรีบทำในสิ่งที่อยากทำก่อนจะสายไป เหมือน The One Card เองก็มองว่ากลุ่มเป้าหมายที่มาใช้สินค้าและบริการนี้เป็นเสมือนคนสำคัญของเขาและไม่อยากรอช้าที่จะให้บริการอย่างดีกันเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ The One Card เองจะยังไม่ได้ต่อยอดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา แต่ก็ยังคงมีการโฆษณาและให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจและมาใช้บริการกันอย่างดีเลยครับ ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วผมก็อดที่จะทำเป็นไม่สนใจ The One Card ไม่ได้จริงๆ เพราะการทำการตลาดของเขาก็เริ่มแพร่หลาย เริ่มมีการนำสื่อโฆษณารูปแบบที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่าง "จีบได้แฟนตายแล้ว" ที่พูดคุยกันมาแล้ว เวลาผมไปเดินห้างเครือ Central ก็เห็นมีการรองรับและให้บริการลูกค้า The One Card มากมายไปหมด จะสมัครเป็นสมาชิคก็ไม่เสียหายเหมือนกันนะครับเนี่ย
และทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ได้กลายมาเป็นคำอธิบายว่า เพราะอะไร? โฆษณาหนังสั้น จีบได้ แฟนตายแล้ว ที่กำลังได้รับความนิยมนั้น ถึงได้ติดตา และตรึงใจผู้คนมากมายในโลกโซเชียล (รวมถึงเป็นหนังแจ้งเกิดให้กับนักแสดงหลักอีกด้วย!) อีกทั้งยังสามารถทำให้แบรนด์อย่าง The One Card ได้ลองเปลี่ยนลุค จากที่ถูกมองว่าเป็นบัตรสะสมแต้มซื้อของหรูหราอยู่เกินเอื้อมคนธรรมด๊าธรรมดา ก็กลายเป็นบัตรพรีเมียมที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้แทบจะทุกช่วงวัยทำงาน แถมยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ' อย่ารอที่จะให้ความสำคัญ กับ The One ของคุณ ' เหมือนกับที่ The One Card ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มาใช้บริการ ดั่งสโลแกนพ่วงท้ายแบรนด์ที่ว่า ' You are my The1 '
สุดท้ายนี้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนสำคัญ ก่อนมันจะหมดเวลาไปนะครับ
วิเคราะห์ได้ดี เข้าใจจุดมุ่งหมายของชิ้นงาน
ตอบลบแต่จะดียึ่งขึ้น ถ้าเพิ่มเติมว่าแล้ว ได้ผลอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย