วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

IMC Charity ไก่ยักษ์ไซส์เท่าหน้า

ไก่ไซส์เท่าหน้า.

สวัสดีอีกครั้งครับ กับบล๊อค IMC ของกลุ่มพวกเรา คราวที่แล้วได้เคยพูดถึงกรณีศึกษา IMC ของ The One Card "จีบได้ แฟนตายแล้ว" กันไปแล้ว รอบนี้ เราก็จะมาลองหาของใกล้ตัวกันบ้าง ใกล้แบบ ใกล้จริงๆ เนื่องจากกลุ่มของพวกเราก็คือกลุ่มนักศึกษาในเชียงใหม่ตาดำๆ ที่บังเอิ๊ญญญ บังเอิญโดนแคมเปญหนึ่งของร้านอาหารร้านหนึ่งเตะตาเข้าเต็มๆ เจ็บมากครับ... (ตึงโป๊ะ) จึงได้หยิบยกร้านนี้มาเป็นกรณีศึกษาอีกตัวอย่างหนึ่งนะครับ !

แทน แท๊น! " Charity ไก่ยักษ์ไซส์เท่าหน้า! "



" Charity ไก่ยักษ์ไซส์เท่าหน้า " หรือที่เหล่านักกินในแวดรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ / เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา หรือผู้คนที่เป็นขาช้อปขากินรอบรั้วมหาวิทยาลัยในภูมิภาคดอยสุเทพ รู้จักกันในนาม "ไก่ไซส์เท่าหน้า" ร้านอาหาร
(ที่ดูเหมือนจะเป็น)น้องใหม่ที่เพิ่งมาได้ฤกษ์เปิดกิจการเมื่อต้นเดือน สิงหาคม ที่บริเวณกาดหน้ามอ ตรงข้ามประตูหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เอกลักษณ์ของร้านหรืออาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเมนู " ไก่ยักษ์ ไซส์ xxl "




ใหญ่...สมชื่อเขาจริงๆครับ (ใหญ่กว่า หรือเท่ากับหน้าคนจริงๆนั้นแหละ ไม่ได้โม้ 
(และในจุดนี้ผมก็ไม่ได้ค่าโฆษณาด้วยครับ 5555))

ดังนั้น จุดขายที่ไม่มีร้านอาหารร้านใดสามารถเทียบได้ ก็คือ ไก่เท่าหน้า ไก่เท่าหน้า ไก่เท่าหน้า และไก่เท่าหน้าครับ เพิ่มเติมคือ รสชาติที่ทางร้านโปรโมตเน้นๆ ว่าเป็นสูตรลับจากไต้หวัน
 (ดูซี่...เขาอุตส่าห์ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาให้เราลองกันถึงเมืองเหนือของไทยเลยนะ)

ทางร้านก็ไม่รอช้าครับ ทันทีที่มีการเปิดร้านได้ เดือน 
(ทางร้านเริ่มเปิดกิจการตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน) ก็ได้ทำโปรโมชั่น ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ครึกโครมในกลุ่มนักศึกษารั้วมหาลัยใกล้กาดหน้ามอ รมทั้งผู้คนที่อาศัยในละแวกนั้น และนี่คือสิ่งที่ทำให้กลุ่มของเรา ต้องถึงกับหยิบมาพูดถึงกันในวันนี้ครับ :) 

"โปรโมชั่น กดไลค์ และ แชร์!"


1 like = ชานม! 
30 likes = เฟรนช์ฟรายส์!! 
50 likes = ไก่ยักษ์!!! + ชานมไข่มุก!!! 
100 likes = ไก่ยักษ์!!! + แพนเค้ก!!! + ชานมไข่มุกกก!!!!



 


โปรนี้ โปรโมทได้ไม่ถึง 1 เดือนเลยนะครับ ดูจำนวนไลค์และแชร์ซะก่อน :)


3,200 + likes / 1,200 + Shares
  
แล้วทำไมผลของโปรโมชั่นแบบนี้ถึงได้ดีเกินคาด? 
คำตอบที่ผมคิดให้ง่ายๆ ก็คือ มันเป็นเหมือน "กลยุทธ์วิ่งส่งไม้ผลัด"

คืออะไรล่ะ? มันก็เหมือนเวลาวิ่งผลัดสี่คูณร้อยครับ
นั่นก็คือวิธีการของทางร้าน ที่มีการแจกไก่ฟรีเป็นว่าเล่นนั้น เริ่มต้นโดยการเข้าที่ ระวัง ไป!! ที่การโปรโมทในเพจ 
(ไม้ 1 เริ่มวิ่งจากจุดสตาร์ทแล้วครับ แถมยังวิ่งได้เร็วด้วยการสวมใส่รองเท้ายี่ห้อ Social Network) ต่อมาก็ส่งไม้ต่อให้ผู้บริโภคแชร์ แชร์ แชร์ แชร์.. (ไม้ 2 รับไม้ได้แล้วครับตอนนี้ แล้วกำลังวิ่งอย่างกุลีกุจอไปหาไม้สาม!) พอผู้บริโภคแชร์ สิ่งที่ต้องทำต่อมาด้วยตัวของผู้บริโภคเองก็คือ หาคนมา like โพสต์ที่ตัวเองแชร์ออกไป ยิ่งจำนวน like เยอะ ก็ยิ่งได้รับถ้วยรางวัลที่ดูน่าอร่อยขึ้นเท่านั้น 1 Facebook ID ก็เท่ากับ 1 like มีเพื่อนใน Facebook เท่าไหร่ ก็หาไปสิครับ เพื่อของอร่อย มีหรือจะยอม? (และนี่คือการส่งต่อให้ไม้ 3 ครับ ที่เมื่อมาไลค์ ก็เท่ากับได้เห็นข้อมูล ย่อมๆ ของร้านนี้แล้ว เผลอๆ รูปอาหารที่ดูน่ากิน ก็เตะตาเข้าอย่างจัง ก็ทำให้คนที่มาไลค์ ก็สนใจ อยากแชร์เพิ่มขึ้นมาอีก) ต่อมา ก็จะเป็นการส่งไม้สุดท้าย เพื่อวิ่งเข้าสู่เส้นชัยอย่างสวยงาม นั้นคือ เมื่อเห็นโพสต์โปรโมชั่นน่าลิ้มลอง น่าไลค์(หรือถูกบังคับให้ like) ก็เกิด 'การพูดถึง' หรือ word of mouth อย่างปฏิเสธไม่ได้ สมมติว่า ขณะนี้มีการแชร์ทั้งหมด 1,200 แชร์ ถ้าคิดซะว่า อย่างต่ำ ทุกแชร์จะมีคนกด like เฉลี่ยอย่างน้อย 10 คน ก็เท่ากับว่า มีคนเห็นโพสต์หรือเห็นข้อมูลร้านอย่างน้อยๆ  12,000 คนเลยนะครับ! O_o! นี่ยังไม่นับไลค์อีก 3,200 likes นะครับ ว่าคนที่ไลค์จะนำไปส่งต่อสารกันอีกหรือเปล่า?!

ไม่เพียงแค่โปรโมชั่นดีๆเท่านั้นที่ทางร้านจัดให้ ยังมีโปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเทศกาลรับน้องอย่างการเลี้ยงสายพี่รหัสน้องรหัส ให้พี่รหัสได้พาน้องๆมาเลี้ยงพร้อมรับส่วนลดจากทางร้านกันแบบคุ้มสุดๆ ในขณะเดียวกันที่ร้าน ก็ไม่ได้ตั้งใจขายแค่ไก่ยักษ์ แต่ยังมีเมนูอื่นๆอีก เช่น ปีกไก่ เต้าหู้ทอด ชานม มะม่วงปั่น หรือ แม้กระทั่ง เห็ดทอดก็มีนะครับ

เห็นอย่างนี้แล้วผมก็คงต้องรีบไปร่วมกิจกรรมกับทางร้านซะแล้วแหละครับ น้องรหัสก็เปิดสายกันไปแล้ว เผื่อจะได้รับส่วนลดจากทางร้านเขาบ้างนะครับ แต่ไปกัน  4 คนช่วงนี้ก็รับส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ... อิอิ

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

IMC The One Card

ปัจจุบันการที่บริษัทจะ "ขายของ" สักชิ้น หรือ ประกาศถึงคุณสมบัติเริดๆของ "การบริการ" ขององค์กรตัวเอง เริ่มมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น มันไม่ได้อยู่แค่หน้าจอทีวีที่เป็นโฆษณาสิบวิ สิบห้าวินาที หรือโปสเตอร์ใหญ่ๆ ที่ติดตามแยกถนนใหญ่ แต่มันได้เติบโตและอาจอยู่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันเราแบบใกล้ชิดจนเราแทบไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ หรือการสื่อสารขององค์กรนั้นกลับทำให้เรารู้สึกว่า การโฆษณาอะไรจะดูได้เพลิดเพลินขนาดนี้ เพลินจนจำแบรนด์เธอได้เลยล่ะ อารมณ์เหมือนกับ "รู้ตัวอีกทีฉันก็จำเธอไปจนตายเสียแล้ว!!" และก็เหมือนกับตัวอย่างกรณีศึกษาที่จะนำมาเสนอในบล๊อคของเราวันนี้

โฆษณาหนังสั้น "จีบได้ แฟนตายแล้ว"
ก่อนจะบอกว่ามันคืออะไร แล้วเพราะอะไรมันถึงได้สะกิดต่อมขั้วหัวใจของเรามากถึงขั้นต้องหยิบเอามาคุยในบล๊อค ก็ขอให้ลองรับชมก่อนครับ
คลิกตรงนี้นะครับ
ถ้าดูจนจบ...บอกตรงๆ ว่าทุกคนถึงกับต้องร้องอ๋อ ที่เมื่อตอนท้ายของหนัง มีการสรุปข้อความไว้สั้นๆ เกี่ยวกับคำว่า The One แล้วตบด้วยตราของแบรนด์สินค้า และสโลแกนสวยๆ พ่วงว่า " You are my The One " ตัชชช!!! เชื่อไหมครับ? ตอนนี้ตัวคนเขียนบล๊อคเองก็ยังจำได้เป๊ะ ทั้งๆที่ตลอดทั้งเรื่องของหนัง ไม่ได้กล่าวถึงตัวสินค้าเลย หรือแม่กระทั่งรูปผลิตภัณฑ์ก็ไม่มีโผล่มาสักวินาที ไม่มีเลยจริงๆ แต่ก็กลายเป็นว่าแบรนด์ The One Card ก็ต้องผุดเข้ามาในหัวก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อมีคนพูดว่าจีบได้แฟนตายแล้ว, จีบได้, คนสำคัญ, แฟนตายแล้ว, หนังสั้น, ฐิติพงศ์, พี่เหมย, แวว, อัพ, แหวนแต่งงาน, เจอร์ราร์ด, หนิง, ลิเวอร์พูล, รักแมนยู
(มันต้องเกินเบอร์ขนาดนั้นเลยเหรอ? คำตอบคือ 'ใช่ครับ' เพราะดูหนังเสร็จ ภาพที่จำก็กลายเป็นภาพแบรนด์บัตรสะสมแต้มเครือ Central Group ไปแล้ว )
อะไร? ที่ทำให้ หนังสั้น 10 นาที กลายเป็นที่น่าจดจำได้มากขนาดนี้ ? เราจะมาลองดูไปพร้อมๆกันนะครับ
อย่างแรก! เป็นเพราะ. The One Card รู้ตัวดีครับ ว่าเขาคือใคร? มาทำอะไร? และมีฉายาว่าอะไร? คำตอบก็คือ เขาคือบัตรสะสมแต้มจากการซื้อสินค้า และใช้เป็นส่วนลดการซื้อขายในห้างสรรพสินค้าเครือ Central Group ต่อมาคือสโลแกนของเขาเอง ที่บอกว่า You are my The One = ลูกค้าอย่างคุณนั่นแหละที่เป็นดั่งนัมเบอร์วันของผม   พอรู้จักตัวเองดีแล้ว ขั้นต่อไป ก็คือต้องการพรีเซนต์ตัวเองกับใคร? ก็เหมือนเวลาจีบใครซักคนนั่นแหละครับ เพราะเวลาที่เราปิ๊ง อยากจะจีบใครซักคน (เปรียบได้ดั่งกลุ่มเป้าหมายของ The One Card) เราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าคนนั้นชอบอะไร(กลุ่มเป้าหมายจะสนใจอะไรบ้างนะ?) แล้วเราก็กลับมามองตัวเอง(The One Card สำรวจคุณสมบัติของตัวเอง) แล้วก็หาวิธีที่จะจีบด้วยวิธีการของตัวเองและไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป !(The One Card หาช่องทางการสื่อสารตัวเอง ไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย) ซึ่ง The One Card เลือกที่จะสื่อสารกับกลุ่มคน Young Adult - Adult หรือกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 20-25 ปี) และวัยทำงานเต็มตัวเต็มประสิทธิภาพ (อายุ 25-40 ปี) ดูจากอะไรล่ะ? ก็ดูจากการแคสนักแสดง, เรื่องราวความรักมุ้งมิ้ง, วิธีการเล่าเรื่องผ่านบทละคร โดยในการสื่อสารผ่านบทละครเรื่องนี้ The One Card เลือกที่จะสื่อสารโดยนำเสนอเรื่องราวจากประสบการณ์ร่วมของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตทั่วๆไปของคนปัจจุบัน มีการใช้งาน Facebook หรือจะเป็นการอยู่ร่วมกันของคู่รักวัยรุ่นในเรื่อง ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้ดูโฆษณาหนังสั้นเรื่องนี้เกิดความรู้สึกเข้าถึงได้ง่ายและใกล้เคียงกับชีวิตของตัวเองนั่นแหละครับ
นอกจากโฆษณาหนังสั้นเรื่องนี้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงและเกิดความประทับใจขึ้นแล้ว ยังมีลูกเล่นในการนำเสนอที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง มันเรียกได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเรื่องราวที่นำเสนอกับตัวสินค้าและกลุ่มเป้าหมายเองโดยใช้คำว่า "The One" มาเป็นแกนหลักสำคัญ อย่างที่ทุกคนเข้าใจกันนะครับว่า "The One" ก็คือหนึ่งเดียว มันก็ตีความหมายได้หลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะให้ความหมายว่ายังไง แต่แล้วมันก็คงไม่พ้นความเป็นหนึ่ง ความเป็นสิ่งสำคัญแน่นอน ถือว่าThe One Card มาถูกทางเลยทีเดียวล่ะครับแหม่ ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นความสำคัญของคนสำคัญ รวมถึงเห็นความสำคัญของเวลาที่ต้องรีบทำในสิ่งที่อยากทำก่อนจะสายไป เหมือน The One Card เองก็มองว่ากลุ่มเป้าหมายที่มาใช้สินค้าและบริการนี้เป็นเสมือนคนสำคัญของเขาและไม่อยากรอช้าที่จะให้บริการอย่างดีกันเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ The One Card เองจะยังไม่ได้ต่อยอดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา แต่ก็ยังคงมีการโฆษณาและให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจและมาใช้บริการกันอย่างดีเลยครับ ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วผมก็อดที่จะทำเป็นไม่สนใจ The One Card ไม่ได้จริงๆ เพราะการทำการตลาดของเขาก็เริ่มแพร่หลาย เริ่มมีการนำสื่อโฆษณารูปแบบที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่าง "จีบได้แฟนตายแล้ว" ที่พูดคุยกันมาแล้ว เวลาผมไปเดินห้างเครือ Central ก็เห็นมีการรองรับและให้บริการลูกค้า The One Card มากมายไปหมด จะสมัครเป็นสมาชิคก็ไม่เสียหายเหมือนกันนะครับเนี่ย

และทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ได้กลายมาเป็นคำอธิบายว่า เพราะอะไร? โฆษณาหนังสั้น จีบได้ แฟนตายแล้ว ที่กำลังได้รับความนิยมนั้น ถึงได้ติดตา และตรึงใจผู้คนมากมายในโลกโซเชียล (รวมถึงเป็นหนังแจ้งเกิดให้กับนักแสดงหลักอีกด้วย!) อีกทั้งยังสามารถทำให้แบรนด์อย่าง The One Card ได้ลองเปลี่ยนลุค จากที่ถูกมองว่าเป็นบัตรสะสมแต้มซื้อของหรูหราอยู่เกินเอื้อมคนธรรมด๊าธรรมดา ก็กลายเป็นบัตรพรีเมียมที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้แทบจะทุกช่วงวัยทำงาน แถมยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ' อย่ารอที่จะให้ความสำคัญ กับ The One ของคุณ ' เหมือนกับที่ The One Card ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มาใช้บริการ ดั่งสโลแกนพ่วงท้ายแบรนด์ที่ว่า ' You are my The1 '

สุดท้ายนี้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนสำคัญ ก่อนมันจะหมดเวลาไปนะครับ